นายกองเอก เจริญ สิริวัฒนภักดี (จีน:??? ; พินอิน:suxuming) (เคียกเม้ง แซ่โซว, เจริญ ศรีสมบูรณานนท์) (เกิด 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2487) คือนักธุรกิจชาวไทยเชื้อสายจีน ประกอบธุรกิจหลายแขนง อาทิ อุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เฯลฯ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นประธานกรรมการบริษัทไทยเบฟเวอเรจ เจ้าของบริษัทเบียร์ช้างและบริษัทในเครือ นอกจากนั้นยังเข้าเป็นผู้สนับสนุนหลักของสโมสรฟุตบอลเอฟเวอร์ตันในฟุตบอลพรีเมียร์ลีก เจ้าของกิจการ โรงแรม พลาซ่า แอททินี่ ในกรุงเทพมหานคร และในนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
จากการจัดอันดับโดยนิตยสารฟอร์บ (ข้อมูล ณ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559) เจริญ สิริวัฒนภักดี มีทรัพย์สินรวมทั้งหมด 10,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นมหาเศรษฐีอันดับที่ 1 ของประเทศไทย (อันดับ 2 คือนายธนินท์ เจียรวนนท์ เจ้าของธุรกิจเครือเจริญโภคภัณฑ์ อันดับ 3 คือนายวาณิช ไชยวรรณ เจ้าของธุรกิจไทยประกันชีวิต คิดเป็นมหาเศรษฐีอันดับที่ 94 ของโลก
นายกองเอก เจริญ สิริวัฒนภักดี สมรสแล้วกับ คุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี มีบุตร 5 คน (ชาย 2 คน หญิง 3 คน) ได้แก่ นันท์ วัลลภา ฐาปน ฐาปนี และ ปณต สิริวัฒนภักดี
นายกองเอก เจริญ สิริวัฒนภักดี มีชื่อภาษาจีนว่า “โซว เคียกเม้ง” (? ??, เคียกเม้ง แซ่โซว) ชื่อนามสกุลเดิมคือ "ศรีสมบูรณานนท์" เกิดเมื่อวันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2487 บิดามีอาชีพขายหอยทอด ใช้เวลาเรียนถึง 8 ปีเพื่อให้จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จากโรงเรียนเผยอิง เนื่องจากระหว่างเรียนต้องทำงาน หาเลี้ยงชีพด้วยการขายของเล็กๆ น้อยๆ เมื่อเขาอายุ 11 ปี ได้รับจ้างเข็นรถส่งสินค้า ย่านสำเพ็ง ทรงวาด จากนั้นจึงขยับเป็นพ่อค้าหาบของขาย
ปี 2504 ได้เป็นลูกจ้างของชาวจีนที่อพยพมาอยู่เมืองไทยคนหนึ่ง ในบริษัทย่งฮะเส็ง และห้างหุ้นส่วนจำกัด แพนอินเตอร์ ที่จัดส่งสินค้าให้โรงงานสุราบางยี่ขัน และเพียงปีเดียวเขาได้เป็น ”ซัพพลายเออร์” ให้โรงงานสุราบางยี่ขันเอง นำมาสู่การรู้จักกับนายจุล กาญจนลักษณ์” ผู้เชี่ยวชาญการปรุงรสสุรา โดยเฉพาะสูตร ”แม่โขง” และคุ้นเคยกับเจ้าสัว เถลิง เหล่าจินดา” ผู้มีอำนาจในการจัดซื้ออุปกรณ์ทุกอย่างของโรงงาน โซวเคียกเม้ง” กลายเป็นขุนพลคู่ใจของเจ้าสัวเถลิงในเวลาไม่นาน เพราะความอ่อนน้อมถ่อมตน และมีสัมมาคารวะ กลยุทธ์ แลเคล็ดลับทำธุรกิจสุราจึงเป็นของเขาในที่สุด
เมื่ออยู่ในวงการของเจ้าสัวแล้ว จึงได้มีโอกาสพบกับ ”วรรณา แซ่จิว” หรือปัจจุบันคือ ”คุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี” บุตรสาวของเจ้าสัวกึ้งจู แซ่จิว
ปี 2518 บริษัทธารน้ำทิพย์ ผู้ผลิต ”ธาราวิสกี้” ของ ”พงส์ สารสิน” และ ”ประสิทธิ์ ณรงค์เดช” ประสบภาวะขาดทุนและประกาศขาย กลุ่มเจ้าสัวเถลิงและ “เจริญ” จึงเข้าซื้อกิจการ ซึ่งก็คือบริษัทแสงโสมในปัจจุบัน
ปี 2529 “เจริญ” ที่ได้กลายเป็น ”เจ้าสัว” ไปแล้ว ได้เข้าสู่ธุรกิจธนาคาร และการเงิน ด้วยความช่วยเหลือของ ”พ่อตา” เข้าไปซื้อหุ้นในธนาคารมหานคร บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์มหาธนกิจ ซื้อหุ้นในบริษัทอาคเนย์ประกันภัย และอีกหลายกิจการ
ปี 2537 ซื้อกิจการกลุ่มโรงแรมอิมพีเรียล ที่มีโรงแรมในเครือจำนวนมากจากนายอากร ฮุนตระกูล และจากนั้น ”เจ้าสัวเจริญ” ก็ขยายธุรกิจอย่างไม่เคยหยุดยั้ง จนกระทั่งถึงปัจจุบัน โดยมีทายาท 5 คน พร้อมสานต่อ คือ อาทิ นันท์ วัลลภา ฐาปน ฐาปนี และปณต
ปรัชญาการดำเนินธุรกิจที่เป็นเลื่องลือของเจ้าสัว ”เจริญ” คือ การซุ่มซ่อนยาวนาน สะสมทุน รอคอยโอกาส ที่สำคัญ “คุณธรรมน้ำมิตร” ที่ว่า ”บุญคุณต้องทดแทน” ทำให้เส้นทางของ ”เจ้าสัวเจริญ” ยังมีโอกาสอีกยาวไกล
เจริญ สิริวัฒนาภักดี สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง และปริญญาโทจากคณะเดียวกัน นอกจากนี้แล้วนายเจริญ ยังได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากสถาบันเทคโนโลยีการเกษตรแม่โจ้ มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ (พ.ศ. 2553)
ปี พ.ศ. 2504 ได้เป็นลูกจ้างของชาวจีนที่อพยพมาอยู่เมืองไทยคนหนึ่ง ในบริษัท "ย่งฮะเส็ง" และห้างหุ้นส่วนจำกัด "แพนอินเตอร์" ที่จัดส่งสินค้าให้ "โรงงานสุราบางยี่ขัน" นำมาสู่การรู้จักกับนาย "จุล กาญจนลักษณ์" ผู้เชี่ยวชาญการปรุงรสสุรา "แม่โขง"
เจ้าสัวเข้าสู่วงการธุรกิจสุราด้วยการชวนของเถลิง เหล่าจินดา แห่งกลุ่มสุราทิพย์ ผู้ซึ่งต่อมาเป็นปรปักษ์กับตระกูลเตชะไพบูลย์ ซึ่งถือเป็นเจ้าพ่อในวงการนี้มายาวนาน ในปี 2525 เมื่อเถลิงผ่านการต่อสู้อย่างโชกโชน ก็เหนื่อยล้าลาจากวงการไป เจริญก็เข้าสวมแทนและสามารถเอาชนะกลุ่มเตชะไพบูลย์ โดยเข้ายึดครองกลุ่มสุรามหาราษฎร อย่างสิ้นเชิงในปี 2530 ในขณะเดียวกันนั้น พ่อตาของคุณเจริญ(นายกึ้งจู แซ่จิว) ก็เข้ายึดกิจการบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์มหาธนกิจจากตระกูลเตชะไพบูลย์อีกสายหนึ่ง ต่อมาเมื่อเตชะไพบูลย์สายนั้น (โคโร่-คำรณ เตชะไพบูลย์) มีปัญหาในการบริหารธนาคารมหานคร เจริญและพ่อตา ซึ่ง มีสองขาทางธุรกิจที่หนุนเนื่องกัน (ธุรกิจสุราและการเงิน) และกำลังเริ่มยิ่งใหญ่ในปี 2530 ก็เข้ายึดครองกิจการ การเงิน ทั้งธนาคารและบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ไว้ ทั้งๆ ที่ธุรกิจการธนาคารสำหรับ สังคมไทย ถูกปิดตายสำหรับคนนอกมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง จากจุดนี้จึงถือว่า เจริญ สิริวัฒนภักดี สร้างอาณาจักรที่มั่นคงและโหมโรงการขยายตัวอย่างเชี่ยวกรากในเวลาจากนั้นมา
ก่อนที่จะมาเป็นคนรวยที่สุดของประเทศไทย มีความยากจนมากแต่ท่านชอบอาชีพนักขายเป็นอย่างยิ่ง จึงได้ต่อสู้มาจนถึงปัจจุบัน ธุรกิจสุราดั้งเดิม แม้ว่าระบบสัมปทานแบบเดิมกำลังจะปิดฉากลง แต่เขาก็สามารถใช้เครือข่ายการค้าแบบเดิม ซึ่งฝังรากในตลาดล่างกับเครือข่ายการค้า ในชุมชนซึ่งถือว่าเป็นเครือข่ายการค้าที่เข้มแข็งที่สุดเครือข่ายหนึ่งในสังคมไทย ภายใต้ระบบเอเย่นต์ และระบบขายพ่วง (สุราพ่วงเบียร์ สุราพ่วงโซดา) ที่เข้มแข็งนั้นเดินหน้าธุรกิจต่อไปจากนั้นก็ต่อเนื่องเข้าสู่ธุรกิจเบียร์ (เบียร์ช้าง และเบียร์คาร์ลสเบอร์ก) ซึ่ง เสริมกับค้าสุราได้อย่างกลมกลืน ภายใต้โครงสร้างการแข่งขันที่ดุเดือดของธุรกิจนี้ นำเอาโมเดลการค้าสุรามาทำให้ความสามารถในการแข่งขันอยู่ได้ ซึ่งถือว่าเบียร์ช้าง เป็นคู่แข่งทางการตลาดของเบียร์สิงห์โดยตรง
ปี พ.ศ. 2537 ได้เข้าซื้อกิจการกลุ่มโรงแรมอิมพีเรียล ที่มีโรงแรมในเครือจำนวนมากจากนายอากร ฮุนตระกูล และจากนั้นก็ขยายธุรกิจอย่างไม่เคยหยุดยั้ง จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้